ค้นหา
ภาษาไทย
สินค้าตามประเภท
    เมนู ปิด
    กลับไปทั้งหมด

    4 เทคนิค การเลือกเครื่องสำรองไฟ ให้ปลอดภัย

    4 เทคนิค การเลือกเครื่องสำรองไฟ ให้ปลอดภัย

    คอมพิวเตอร์ก็เปรียบเสมือนแขนขาของคนในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะใช้ในการเรียน ใช้ทำงาน หรือใช้เพื่อความบันเทิง ดูหนัง ฟังเพลง เล่นโซเชียลมีเดียที่บ้าน แต่ปัญหาที่หลาย ๆ คน คงพบเจอกันเป็นประจำคือ เวลาเกิดไฟตก ไฟกระชากจนไฟดับไปซะเฉย ๆ ทำให้คอมพิวเตอร์ตัดการทำงานไปด้วย โดยเฉพาะหากเป็นการทำงานที่ไม่ได้เซฟหรือเก็บข้อมูลสำรองเอาไว้ก่อน และถ้าหากไฟกระชากบ่อย ๆ ก็อาจทำให้คอมพิวเตอร์พังได้เหมือนกัน

    4 เทคนิค การเลือกเครื่องสำรองไฟ

    แต่ถ้าหากเรามี UPS หรือเครื่องสำรองไฟติดบ้านไว้ ก็จะช่วยป้องกันสาเหตุต่าง ๆ ได้ UPS อาจจะเป็นของใหม่สำหรับหลายคน หรือไม่เคยให้ความสนใจที่จะซื้อมาใช้งาน จึงเกิดคำถามมากมายว่า หากอยากจะซื้อมาไว้สักเครื่อง จะต้องเลือกอย่างไร 

    ควรเลือก UPS อย่างไร แบบไหนดี ?

    ตามร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ไอที หรือร้านขายคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ จะพบว่ามีวางขาย UPS อยู่มากมายหลายแบบ หลายยี่ห้อ หน้าตาก็จะคล้าย ๆ กันไปหมด สำหรับคนเป็นมือใหม่หัดใช้ ก็จะเป็นเรื่องน่าปวดหัวไม่น้อยว่า จะเลือกซื้อแบบไหนให้เหมาะกับการใช้งานดี เรามีคำแนะนำการเลือกซื้อ UPS หรือเครื่องสำรองไฟ มาฝากกัน

    1. เลือกจากประเภท UPS หรือเครื่องสำรองไฟ

    • เครื่องสำรองไฟ หรือ UPS ที่มีลักษณะคล้าย ๆ กันนั้น แบ่งออกเป็นหลายประเภทตามการใช้งาน แบบราคาเบา ๆ ใช้สำรองไฟได้เพียงอย่างเดียว เรียกว่า Stand by UPS ส่วนเครื่องสำรองไฟ และมีระบบปรับแรงดันไฟฟ้าในตัว (Stabilizer) จะเรียกว่า Line Interactive UPS เครื่องสำรองไฟประเภทนี้ จะช่วยถนอมอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ดีมากกว่า แต่ราคาจะสูงกว่าแบบแรก และที่ราคาสูงกว่าประเภทอื่น เรียกว่า Online UPS เครื่องสำรองไฟที่มีระบบควบคุมคลื่นสัญญาณรบกวน ช่วยป้องกันและควบคุมปัญหาไฟฟ้าได้ทุกชนิด ควบคุมกระแสไฟให้เดินอย่างสม่ำเสมอ

    2. เลือกจากขนาดกำลังไฟ UPS

    • การเลือกจากข้อนี้ ก่อนอื่นเราต้องรู้กำลังไฟที่เราใช้งานก่อน คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป จะใช้กำลังไฟประมาณ 400 – 500 Watt หรือหากใครที่เป็นคอเกม เครื่องก็จะมีการใช้กำลังไฟที่สูงกว่า ดังนั้น การเลือกซื้อเครื่องสำรองไฟ หรือ UPS จึงต้องดูจากขนาดความจุของ UPS เพื่อรองรับการใช้งานของเรา ซึ่งทั่วไปจะมีหน่วยเป็น VA หรือ KVA ค่า VA ยิ่งมาก ก็จะสำรองไฟได้นานกว่านั่นเอง แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องซื้อให้ขนาดความจุของ UPS มากเกินไป เพราะเมื่อไฟฟ้าดับ UPS จะสำรองไฟให้ไม่นาน แค่เพียงพอให้เราจัดการเซฟการทำงาน หรือปิดอุปกรณ์เท่านั้นเอง

    3. เลือกจากระยะเวลาสำรองไฟ

    • เครื่องสำรองไฟ หรือ UPS จะเริ่มทำงานหลังจากไฟฟ้าดับ โดยจะจ่ายกระแสไฟหล่อเลี้ยงไว้ ตามระยะเวลาของเครื่องสำรองไฟ ที่เรียกกันว่า Backup Time ซึ่งระยะเวลาสำรองไฟ ก็ไม่จำเป็นต้องมาก เช่น 10 – 20 นาที ก็เพียงพอแล้วสำหรับการปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเซฟงานสำคัญต่าง ๆ แต่หากอุปกรณ์ที่ใช้ต้องการระยะเวลาสำรองไฟมากกว่าปกติ ก็จะมี UPS ที่เป็นประเภทแบตเตอรี่ High-Rate ที่จะสำรองไฟได้นานกว่า UPS ทั่วไป ประมาณ 10 – 20 นาทีเช่นกัน

    4. เลือกจากคุณภาพมาตรฐาน

    • แน่นอนว่าหากใครเป็นมือใหม่จริง ๆ การเลือกจาก 3 ข้อเบื้องต้นที่เราแนะนำไปนั้น อาจจะไม่เพียงพอหรือตอบโจทย์ได้ทั้งหมด หากจะให้อุ่นใจว่าได้สินค้าที่มีคุณภาพ และคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายไป ก็ควรเลือกจากยี่ห้อ หรือบริษัทที่ได้รับความไว้วางใจ และได้รับความเชื่อถือมาอย่างยาวนาน รวมทั้งเช็กดูเงื่อนไขระยะเวลารับประกัน มาตรฐานรับรองการผลิต หรือมาตรฐานอุตสาหกรรม มีศูนย์บริการหลังการขาย ก็จะช่วยให้ความมั่นใจกับการเลือกซื้อมากขึ้น

     

     

    ขอขอบคุณบทความดีๆจาก lifestyle.campus-star

    ความคิดเห็น
    แสดงความคิดเห็น ปิด
    *