เครือข่ายระดับองค์กรในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้นจากการนำอินเตอร์เน็ตมาใช้อย่างแพร่หลาย และการสื่อสารทางไกลที่มีการใช้งานกัน ดังนั้น การวางแผนอัพเกรดเครือข่ายขององค์กรขนาดใหญ่หรือ Campus Network จากเดิมที่เคยตรงไปตรงมามีแค่เพิ่มแบนด์วิธ เพิ่มอุปกรณ์ เพิ่มลิงค์ กลายเป็นการให้ความสำคัญกับผู้ใช้และโปรแกรมมากขึ้นกว่าเดิม โดยต้องคิดว่าอุปกรณ์ควรอยู่ตำแหน่งไหน และจะจัดสรรทรัพยากรให้แต่ละโปรแกรมได้มีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างไร
เราจึงได้รวบรวมเทคนิค 5 ข้อรที่ทำให้การวางแผนการขยายเครือข่ายขององค์กรเป็นไปได้อย่างง่ายดายและครอบคลุมมากขึ้น ดังนี้
จากเดิมที่ข้อมูลวิ่งไปมาระหว่างอุปกรณ์ access point กับ server เป็นศูนย์กลางของข้อมูล กลายมาเป็นการสื่อสารผ่านเน็ตขึ้นไปบนอินเตอร์เน็ตแทน ดังนั้นถ้ายังยึดการกระจายแบนด์วิธ หรือ ทรูพุต แบบเดิมย่อมเกิดการทำงานที่ช้า(รอคอยนาน)อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การวางแผนขยายเครือข่ายจึงจำเป็นต้องเผื่อการเติบโตในอนาคต ทั้ง ทรูพุต และทิศทางการไหลของข้อมูลแบบใหม่ด้วย
เพราะแทนที่จะสื่อสารระหว่างอาคารหรือสำนักงานสาขาแบบเดิม กลับมาใช้อินเทอร์เน็ตแทน ดังนั้นแทนที่จะจัดสรรทรัพยากรให้ระบบวีพีเอ็นก็ควรหันมา ยกระดับการรักษาความปลอดภัยของการสื่อสารระหว่างผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตหลายเจ้ากับเครือข่ายในองค์กรมากกว่า โดยเฉพาะการยืนยันตนและให้สิทธิ์การเข้าถึงของแต่ละการเชื่อมต่อและรวมศูนย์การจัดการการเชื่อมต่อทั้งหมดอยู่ที่เดียวกัน
มากจนเข้ามาแทนที่การใช้สายแลนแบบเดิมก็หันมาเชื่อมต่อไร้สายกันมากขึ้น ด้วยเฉพาะตัวเซ็นเซอร์ IoT จำนวนมาก จึงต้องวางแผนเผื่อการเติบโตของการสื่อสารไร้สายทั้งด้านปริมาณการรองรับ, ทรูพุต, และการสำรองการทำงาน
ปัจจุบันเครือข่ายมีความซับซ้อน จนจำเป็นต้องสามารถมองทราฟิกได้ถึงระดับเลเยอร์ 7 ตามโมเดล OSI ดังนั้นการใช้เครื่องมือตรวจสอบประสิทธิภาพเครือข่ายจึงจำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับโปรแกรมอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการใช้เทคนิคออโตเมชั่นในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจำเพื่อแบ่งเบาภาระเจ้าหน้าที่
Networking (IBN) ซึ่งควรขอความช่วยเหลือจากผู้จำหน่ายอุปกรณ์หรือโซลูชั่นเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการจัดหาฮาร์ดแวร์ที่ทั้งทำหน้าที่เราท์ติ้งสวิตชิ่งแบบเดิม แต่สามารถเปิดใช้ฟีเจอร์ SDN หรือ IBN เมื่อพร้อมใช้งานในอนาคต เพื่อความคุ้มค่าในการลงทุนระยะยาว
ขอขอบคุณบทความดีๆ Networkcomputing
ทำไมคุณต้องมีเครื่องสำรองไฟฟ้า (UPS)
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ทั้งในการทำงานหรือเรื่องอื่นๆ แทบจะไม่เคยมีช่วงไหนเลยที่ไม่มี
เครื่องสำรองไฟฟ้า (Uninterruptable Power Supply ,UPS) เมื่อคุณซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งแล้วการลงทุนซื้อ UPS เป็นการลงทุนที่สำคัญที่สุดหากคุณสามารถทำได้ ไม่เพียงแต่คุ้มครองฮาร์ดแวร์เท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดการสูญหายของข้อมูลและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแก่ผู้ใช้งาน ธรรมชาติจะมีช่วงเวลาหนึ่งของมัน เมื่อกระแสไฟฟ้าในอุปกรณ์ของคุณไม่เสถียร อาจจะมีผลร้ายแรงต่อเครื่องคอมพิวเตอร์และระบบภายในบ้านของคุณ ปัญหาที่พบบ่อยเกี่ยวข้องกับแรงดันไฟฟ้า ได้แก่ ไฟดับ (blackout) ไฟตก (brownout) สัญญาณรบกวน (noise) แรงดันกระชาก (spikes) และไฟเกิน (power surges)
การลงทุนซื้อ UPS
ก่อนที่เราจะอธิบายถึงประเด็นเกี่ยวกับความผิดปกติของแรงดันไฟฟ้า เรามาดูกันก่อนว่า UPS คืออะไรและทำงานอย่างไร? UPS เป็นอุปกรณ์ทำการสำรองไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องในช่วงเกิดปัญหาไฟฟ้าไม่สม่ำเสมอ UPS สามารถป้องกันข้อมูลและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออยู่กับมันได้ ด้วยการปรับแรงดันไฟฟ้าที่ส่งผ่านให้คงที่ UPS มีช่วงขนาดและรูปแบบที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดอุปกรณ์มีจุดมุ่งหมายต่างกัน เหล่านั้นประกอบด้วยตัว UPS, Surge suppressor และ SPS สิ่งสำคัญต้องรู้จักการใช้งานให้ถูกต้องจะช่วยป้องกันอุปกรณ์ไม่ให้เสียหายได้เป็นอย่างดี
ประเภทของปัญหาทางไฟฟ้าแตกต่างกัน ก่อนหน้านี้ พูดถึงว่า UPS จะช่วยป้องกันปัญหาทั่วไปเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าได้
การดูแลรักษาเครื่องสำรองไฟ
วิธีดูแลรักษาเครื่องสำรองไฟเบื้องต้น เพื่อให้ใช้ได้นานและคุ้มค่าที่สุด โดยเครื่องสำรองไฟเป็นอุปกรณ์ที่ทำงานเหมือนตัวจ่ายไฟที่เครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะมีความซับซ้อนมาก หากมีปัญหาจะไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง โดยเฉพาะยิ่งหากแบตเตอรี่เสื่อม แทบจะซื้อเครื่องใหม่เลยดีกว่า เพราะราคาแบตเตอรี่ ก็เกือบๆ ซื้อเครื่องใหม่ครับ ดังนั้นเราควรดูแลรักษาเครื่องสำรองไฟให้ใช้ได้นาน และคุ้มค่าที่สุดดีกว่า โดยแยกเป็นข้อ ๆ ตามนี้
ด้านการประหยัดพลังงาน
ขอขอบคุณบทความดีๆจาก sudipan